เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
สุพรรณบุรี, Thailand
ผู้หญิงอายุเยอะ น้ำหนักมาก รักแมว ชอบเที่ยวป่า ดูนก แต่ไม่ตกปลา เกิดที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี เป็นลูกคนแรกที่แม่ไปคลอดที่โรงพยาบาล โดยไม่ผ่านมือหมอตำแย เป็นคนสุพรรณฯ เลือดร้อย เรียนอนุบาลและป.1 ที่โรงเรียนอนุบาลเสริมศึกษา(ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว) ป.2-7 ที่โรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ(ปัจจุบันคือโรงเรียนสุพรรณภูมิ ม.ศ.1-5 ที่โรงเรีงเรียนสงวนหญิง คบ.เอกเกษตรศาสตร์ จากวิทยาลัยครูพระนคร ศศบ. สารนิเทศาสตร์ จาก มสธ. กศม. การศึกษาผู้ใหญ่ จาก มศว. ปรด. จะจบหรือเปล่าไม่รู้ ที่ไหนยังไม่บอก เดี๋ยวจะทำสถาบันเสื่อมเสีย

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กลับทุกข์ กลับสุข

เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕  ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมอบรม "กลับทุกข์  กลับสุข" โดยมีพระไพศาล วิสาโล และทีมเสมสิกขาลัยเป็นวิทยากร  ณ  เรือนร้อยพัน สวนเงินมีมา คลองสาน กทม. จึงขออนุญาตนำองค์ความรู้ที่ได้จากการอบรม ที่ทางทีมงานจากเสมสิกขาลัยได้กรุณาสรุปและจัดส่งมาให้ เพื่อเป็นวิทยาทาน

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เสริมพลังสมอง

วันนี้ พอมีเวลาว่างนิดหน่อย นั่งเปิดfileเก่าๆ ที่ saveไนเครื่อง ตั้งแต่เมื่อครั้งที่รู้ว่าตัวเองมีก้อนเนื้องอกในสมอง เพื่อพยายามศึกษาความเป็นไปได้ในการเสริมพลังสมองของตนเองให้ดีขึ้น เนื่องจากคุณหมอบอกว่านอกจากมีก้อนเนื้องอกในสมองแล้ว ยังมีเซลล์สมองที่ตายแล้วกระจายอยู่ทั่วสมอง เป็นการแสดงให้เห็นว่าเสื่อมไวกว่าวัยที่ควรจะเป็น จึงขออนุญาตนำมาแว้ เพื่อเกิดประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการเสริมพลังสมองต่อไป
ขอบพระคุณผู้เขียน และ website ที่เผยแพร่ไว้ ณ โอกาสนี้

เสริมพลังสมอง


ฝึกฝนความจำให้ใช้งานได้ดี
เคยมีปัญหาเรื่องความจำไหมหรือขี้ลืมจนหงุดหงิดตัวเองบ่อยๆถ้าใช่ ถึงเวลาต้องฝึกความจำเเล้ว การฝึกฝนความจำจะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก และยังสนุกสนานด้วย

เอากุญแจไปวางไว้ที่ไหนนะ เพื่อนร่วมงานคนใหม่ชื่ออะไรหนอ วันนี้ต้องทำงานอะไรบ้าง คนส่วนมากรู้ดีว่าอาการหลงๆลืมๆทำให้ชีวิตยุ่งยากบางครั้งทำให้อับอาย และถูกหัวเราะเยาะ เมื่ออายุมากขึ้น คนเรามักกลัวว่าตัวเองจะยิ่งขี้ลืม และกังวลใจว่าอาการหลงลืมเป็นครั้งคราวนั้น จะเป็นสัญญาณเตือนของโรคอัลไซเมอร์(Alzhermer'disease) หรือเปล่าความสงสัยนี้ทำให้คุณผวามากขึ้นเวลาจำไม่ได้แม้แต่ข้อมูลง่ายๆหรือข้อมูลธรรมดา นั้นแสดงว่าคุณเริ่มแก่ตัวลงแล้ว

สมองฝึกได้

ถ้าจู่ๆ สมองคุณเกิดไม่จดจำสิ่งที่ต้องจำขึ้นมา ไม่ต้องตกใจเพราะยอดอัจฉริยะอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์(ค.ศ.1789-1955) รู้มานานแล้วว่าสมองของคนเรานั้นมีรูปแบการทำงานเหมือนกล้ามเนื้อทั่วไป ดังนั้นเราจึงสามารถฝึกสมองได้เหมือนกับการฝึกกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆข้อเท็จจริงนี้ได้รับการยืนยันแล้วจากผลการวิจัยหลายครั้งตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา

ถ้าคุณมีโอกาสชมการแข่งขันยอดนักจำของโลก (World Memory Championships)ที่จัดขึ้นทุกปีในเยอรมนีจะเห็นได้ว่า ถ้าได้รับการฝึกฝนอยู่เสมอ เซลล์เทาในสมองคนเราจะมีความสามรถยอดเยี่ยมน่าอัศจรรย์ใจ ยกตัวอย่างเช่น โดมินิค โอ 'เบลียน (DominicO'brien)วัย 40 ปี สามารถจำตัวเลข 240 ตัวได้ในเวลา 5 นาที และจำตำแหน่งไพ่ 52 ใบได้ในเวลาภายในไม่ถึง 42 วินาที ซึ่งถือเป็นสถิติโลกทั้งสองกรณี คนคอยถามเขาอยู่เสมอว่าทำไมจึงจำได้อย่างน่าอัศจรรย์อย่างนี้ โอ' เบลียนย้ำว่าสิ่งที่เขาทำได้นี้ไม่ใช่ความสามรถที่กำเนิด แต่เป็นผลของการฝึกฝนอย่างจริงจัง ดังนั้น คนที่คิดว่าสมองตัวเองไม่ได้เก่งกาจสักเท่าไร คงรู้สึกสบายใจได้เพราะมีผลการวิจัยจากสหรัฐอเมริกาที่บ่งชี้ว่า การใช้งานสมองเป็นประจำจะช่วยให้สมองอยู่ในสภาพสอบูรณ์ได้จนถึงวัยสูงอายุ คนที่ฝึกความจำอยู่เสมอจะไม่ค่อยมีอาการหลงลืมแม้อายุถึง 60 ปี หรือมากกว่านั้นแล้ว ผลการสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ระบุว่าร้อยละ 32 ของชาวเยอรมันที่อายุเกิน 14 ปี มักจะมีวิธีฝึกความจำของตนอย่างใดอย่างหนึ่ง

ทุกวันนี้ ความจำที่ดีมีความสำคัญมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ลองคิดถึงข้อมูลข่าวสารที่หลั่งไหลเข้ามามากมายในแต่ละวัน ในยุคที่มีทางด่วนข้อมูลการสื่อสารมวลชน และการติดต่อสื่อสารติต่อกันตลอดเวลา สมองเราต้องคอยแยกแยะว่าข่าวสารข้อมูลชิ้นไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ ต้องทำงานไม่หยุดเพื่อเลือกดูว่าอะไรที่เราต้องจำหรืออะไรที่พอจะลืมได้ ฉะนั้น ถ้าต้องการฝึกฝนความจำให้ใช้งานได้ดีขึ้นคุณต้องเข้าใจว่าสมองมีกลไกคัดเลือกข้อมูลอย่างไร

บันทึกข้อมูลจากประสาทสัมผัส

ว่ากันว่าคนเราจะจดจำเฉพาะสิ่งที่ตัวเองสนใจจริงๆเท่านั้นดังนั้นข้อมูลที่เราเอาใจใส่เป็นพิเศษจึงฝังอยู่ในความทรงจำได้ยาวนาน คนที่มีปัญหาเรื่องความจำไม่ดีนั้นมักพบว่ามีสาเหตุจากการขาดความใส่ใจและขาดสมาธิ ดังนั้นถ้าหากต้องการจำข้อมูลต่างๆเช่น ชื่อเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ทีอยู่เพื่อนสนิท รายการโทรทัศน์ที่โปรดปราน คุณต้องตั้งใจจดจ่อกับเรื่องนั้น เพราะถ้าเพียงแต่รับรู้ข้อมูลที่ไม่ปะติดปะต่อ เมื่อเวลาผ่านไป มักจะจำเรื่องไม่ได้เเล้ว นอกจากนี้เราแต่ละคนยังมีวิธีจดจำข้อมูลใหม่ๆไม่เหมือนกันซึ่งนักจิตวิทยาชื่อ เฟรเดอริค เวสเตอร์(Frederic Vester) แบ่งกลุ่มคนตามความถนัดในการจำออกเป็น 4 ประเภทคือ

1) พวกถนัดฟัง ซึมซับข้อมูลจากการฟังและการพูดเป็นหลัก

2) พวกถนัดดูย่อยข้อมูลได้ดีที่สุดโดยอาศัยสิ่งเร้าทางตา เช่น ภาพ

3) พวกนักคิดแบบนามธรรม ชอบจดจำสูตรและนิยามต่างๆ

4) พวกถนัดสัมผัส จดจำได้ดีโดยการอาศัยประสบการณ์ทางกาย เช่น การสัมผัสจับต้องสิ่งต่างๆ

คุณจัดตัวเองอยู่ในประเภทไหนถ้าคุณเลือกใช้วิธีจดจำตามความถนัดของตนเองจะจำข้อมูลได้ง่ายขึ้นมาก

ถ้ามีช่องโหว่ในคลังความจำของคุณมักเป็นเพราะความรู้สึกหรืออารมณ์ที่รุนแรงมาครอบงำความคิดไว้เช่น เมื่อรู้สึกกลัว เครียด ทำงานมากเกินไปหรือรู้สึกเหนื่อยและหมดแรง คุณมักจดจำเรื่องราวต่างๆได้ไม่สมบูรณ์ เพราะอารมณ์เหล่านี้จะครอบงำความคิดจนไม่อาจเพ่งความสนใจในเรื่องอื่นได้

การขัดจังหวะกะทันหันทำให้เสียสมาธิได้เช่นกัน ตัวอย่างที่พบมากเช่น คุณตั้งใจจะโทรศัพท์ถึงเพื่อนคนหนึ่งแต่เมื่อกำลังเดินไปที่โทรศัพท์ พอดีมีคนมากดกริ่งที่ประตูคุณจึงลืมไปเลยว่าจะโทรศัพท์ถึงใคร

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ความประทับใจจากประสาทสัมผัสเช่น สี เสียง ภาพ กลิ่น หรือรูบทรง มีแนวโน้มฝังแน่นในสมองมากกว่าข้อมูลที่เป็นถ้อยคำ จึงอาจยึดหลักเป็นการง่ายๆว่า ยิ่งเราใช้ประสาทสัมผัสเป็นประโยชน์มากเท่าใด ทั้งดม ลิ้มรส รู้สึกหรือมองเห็นจะยิ่งจำสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น

ทุกภาพบอกเรื่องราว

บรรดายอดนักจำมีกลเม็ดเก่าแก่อยู่อย่างหนึ่งคือ นำสิ่งที่ตัวเองอยากจำไป "เชื่อมโยง" เข้ากับภาพต่างๆ ชากกรีกโบราณเรียนรู้ว่า สมองจะจดจำตัวเลข ชื่อและข้อมูลได้ดีขึ้นเมื่อนำไปเชื่อมโยงกับภาพต่างๆในจิตนาการของแต่ละคน ตัวอย่างเช่น ในตู้โชว์ของร้าน มีเสื้อยืดตัวหนึ่งแขวนโชว์ไว้เสื้อตัวนี้มีสีเหลืองนวลเหมือนมะปรางแล้วจะนึกออกทันทีว่าสีอะไร

ขณะการเชื่อมโยงคุณจะปลดปล่อยจินตนาการอย่างอิสระได้โดยง่าย สมองเราจดจำได้ประมาณ 10000 ภาพ จึงสามารถใช้" คลังภาพ" สร้างความเชื่อมโยงได้มากมายยิ่งภาพในจินตนาการมีลักษณะเพี้ยนแปลกประหลาด และเกินจริงเท่าใดจะยิ่งจดจำได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

พลังของภาพยังมีประโยชน์ในการใช้แทนภาษาได้ คำกล่าวยอดนิยมที่ว่า"หนึ่งภาพแทนคำนับพัน"นั้นบอกได้ชัดเจนว่า ความประทับใจจากสิ่งที่เห็นมีผลต่อความจำอย่างไร

ฝ่าด่านความสับสน

ถ้าต้องจัดลำดับสิ่งที่ต้องทำท่ามกลางสภาพการณ์ที่สับสน ทางที่ดีควรเริ่มจากนั้นเงียบๆก่อน แล้ว"นึกภาพ" สถานการณ์ที่ต้องทำ เช่น เวลาที่ไปซื้อของประจำสัปดาห์ คุณมักลืมซื้อของสำคัญเสมอ ปัญหานี้แก้ไขได้โดยการจินตนาการว่าตัวเองกำลังเดินสำรวจไปทั่วซุบเปอร์มาเก็ต วาดแผนผังซุบเปอร์มาเก็ตนั้นไว้ในใจแล้วลองไง่ไปตามทางเดิน มองหาชั้นวางสินค้าที่ต้องการ จะหาอลูมิเนียมฟอยล์ที่ไหน ไปทางไหนจึงจะต้องไกล้ที่สุด นึกภาพสิ่งของที่คุณมักลืมซื้อโดยพยายามกำหนดตำแหน่งแห่งที่ให้สัมพันธืกับของอย่างอื่นที่คุณต้องการซื้อ ตอนที่นั่งนึกเหตุการณ์อยู่นี้ควรจดรายการสินค้าไว้ด้วยโดยเรียงตามตำแหน่งที่วางขาย แล้วใช้เป็นเหมือนแผนผังเส้นทางซื้อของในซุบเปอร์มาเก็ตนั้นได้

คุณอาจใช้วิธีเดียวกันนี้ในการทำงานได้เช่นกัน ถ้าต้องโทรศัพท์ติดต่อผู้คนมากมาย ลองนึกหน้าคนที่ต้องโทรศัพท์หาด่วนที่สุดก่อน หรืออาจใช้ปากกาสีต่างๆวงรอบนัดหมายที่สำคัญเป็นพิเศษในสมุดเตือนความจำจากรันใช้สมองทำหน้าที่เหมือนกล้องถ่ายรูบ บันทึกภาพที่ได้ไว้ ติดภาพนี้ลงบนกระดาษบันทึกในใจ การฝึกฝนจินตนาการแบบนี้ช่วยให้ความจำดีขึ้นและยังเรียกข้อมูลที่เก็บมาไว้ใช้ได้ง่ายขึ้นด้วย

ประสาทสัมผัสของเรากับโลก

วิธีฝึกความจำด้วยภาพนี้เรียกว่าการจินตภาพ(Visualization) หมายถึง การสร้างภาพในใจจากสิ่งทีคุณต้องการจดจำ บรรดานักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ และศิลปินทั้งหลายรู้จักเทคนิคนี้มานานนับศตวรรษแล้ว เจมส์ วัตสัน(Jame watson) นักชีววิทยาชาวอเมริกัน และเพื่อนร่วมงานชาวอังกฤษคือ ฟรานซิส คริค(Francis Crick) ก็สามารถถอดรหัสดีเอ็นเอของมนุษย์ได้ด้วยเทคนิคนี้ โดยได้ภาพร่างและแบบจำลองบางส่วนจากจินตภาพ จากนั้นจึงนำมาพัฒนาต่อจนได้โครงสร้างรูปเกลียวของโมเลกุลดีเอ็นเอที่อยู่ภายในเซลล์และมีข้อมูลทางพันธุกรรมของมนุษย์เก็บไว้ การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่นี้ทำให้ทั้งสองได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ในปี ค.ศ.1962

นอกจากนี้ เฮนรี่ มัว (Henry moore : ค.ศ.1989-1986)ประติมากร ชาวอังกฤษ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ใช้จินตนาการให้เป็นประโยชน์โดยก่อนที่มัวร์จะหยิบค้อนและสิ่วขึ้นมาสร้างผลงานอันโด่งดันนั้น เขาได้จิตนาการภาพประติมากรรมเชิงนามธรรมขนาดใหญ่ไว้แล้วอย่างละเอียดลออทุกแง่ทุกมุม รากกับมีชิ้นงานเสร็จสมบูรณ์วางอยู่ตรงหน้า

ขีดความสามารถในการคิดอย่างสร้าสรรค์ของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับพลังแห่งจินตนาการของผู้คนนั้น รูดอล์ฟ เอิร์นไฮม์(Rudolf Arnheim)ชึ่งเป็นนักจิตวิทยา เชื่อว่ามโนภาพ หรือการมองเห็นด้วยดวงตา มีบทบาทสำคัญต่อการคิดของคนเรามากยิ่งกว่าภาษา ส่วนนักจิตวิทยาคนอื่นๆพบว่ามีผู้ที่นึกภาพในใจได้ดีจะมีประสิทธิภาพความจำดีเป็นพิเศษด้วย

ไม่ใช่แต่นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลและประติมากรผู้ทีชื่อเสียงระดับโลกเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากการคิดเป็นภาพ แต่ใครๆก็สามารถนำเทคนิคนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยเหมือนกัน

จำได้ไม่ยุ่งยาก

พอคิดจะทำเค้กสูตรโปรด คุณเกิดลืมส่วนผสมขึ้นมาใช่ไหม ก่อนอื่นใหด้นึกย้อนไปถึงตอนที่กำลังจะนวดแป้งในชามมีไข่ไก่ 3 ฟอง ถัดไปเป็นถ้วยตวงมีแป้งอยู่ครึ่งถ้วย อีกถ้วยหนึ่งเป็นถ้วยน้ำตาล ใกล้ๆกันเป็นถุงผงฟูสีสดและอีกถ้วยใบเป็นมีเนยสีเหลืองๆอยหนึ่งชิ้นพยายามนึกถึงสีและกลิ่นด้วย ยิ่งคุณนึกภาพได้ชัดเพียงใดจะยิ่งจำส่วนผสมได้ดีเท่านั้น

การที่สมองเชื่อมโยงภาพต่างๆแบบคร่าวๆเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนความทรงจำบางอย่างของเราโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก หลายคนอาจคุ้นเคยกับสถานการ์ณทำนองนี้ เช่น มีรถสีแดงคันหนึ่งแล่นผ่านไปจู่ๆคุณนึกเห็นภาพตัวเองนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟริมทางเดินในเชียงใหม่ ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรหรือ รถยนต์คันนั้นทำให้เกิดภาพที่โยงใยในจิตใต้สำนึก บางทีอาจเป็นเพราะรถคันแรกของคุณเป็นรถสีแดงคันเล็กๆที่คุณเคยขับไปเที่ยวทั่วเชียงใหม่โดยอัตโนมัติดังนั้นการเชื่อมโยงภาพในลักษณะนี้จะเป็นเครื่องช่วยจำเป็นอย่างดี

ศิลปะการจำ

เทคนิคการพัฒนาความจำด้วยการเชื่อมโยงภาพต่างๆเข้าด้วยกันนี้เรียกได้ว่าเป็น ศิลปะเเห่งการจำ(mnemonics) โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธ (Lohann Wolfgang Von Ggoethe: ค.ศ.1749-1832) กวีเอกชาวเยอรมัน เคยเปรียบเทียบกระบวนการเชื่อมโยงภาพนี้ว่าเป็นเหมือนศิลปะงานทอผ้า ความคิดของคนเราคือกระสวยที่พุ่งกลับไปกลับมาอย่างสม่ำเสมอบนหูกทอผ้า สอดร้อยเส้นสายเรียงรายของเส้นด้ายมากมายนับไม่ถ้วนเข้าด้วยกัน จนได้เนื้อผ้าเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

ถ้าคุณลืมพกกุญเเจก่อนออกจากบ้านบ่อยๆจนบางครั้งเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ วิธีเเก้ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ ติดภาพตลกๆบนเเผ่นเล็กๆไว้ตรงประตูเพื่อเตือนให้หยิบกุญเเจติดมือมาด้วยก่อนใส่กลอนประตู อีกกรณีหนึ่งคือ คุณอาจจำหน้าคนได้แม่นยำแต่กลับนึกชื่อไม่ออกซักที วิธีแก้ไขอาจทำได้โดยมองหาลักษณะพิเศษบนใบหน้าคนๆนั้นแล้วนึกภาพที่เข้ากันได้ดีกับชื่อของเขา จากนั้นโยงลักษณะพิเศษบนใบหน้าเขาเข้ากับภาพที่นึกได้แล้วผูกเป็นเรื่องราว ภาพที่เชื่อมโยงกันนั้นไม่จำเป็นต้องสมเหตุสมผลเสมอไปเนือางจากคนเรามักจำสิ่งต่างๆได้ง่ายถ้าเชื่อมโยงกับภาพที่แปลกประหลาดหรืตลกขบขัน

สมองมีหลายแผนก

วันทั้งวัน ประสาทสัมผัสของเรามีสิ่งเร้ามากมายมากระตุ้นจนเกือบจะรับได้ไม่หมด มีสารพัดทั้งที่เป็นภาพ เป็นสัญลักษณ์ ตัวเลข กลิ่นและเสียงต่างๆ อย่างไรก็ตาม แม้กระเเสข่าวสารจะหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย แต่โดยปรกติความจำของเราก็มักจะเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดี

สมองใช้กลไกอย่างหนึ่งเพื่อคงการรับรู้เข้าใจโลกเอาไว้ กลไกดังกล่าวคือการจัดจัดส่งข้อมูลเเต่ละชิ้นไปยังลิ้นชักความจำต่างๆเรียงตามความสำคัญของข้อมูล นักวิจัยพบว่าระบบความจำของคนเราไม่ได้มีเพียงระบบเดียว แต่มีอยู่หลายระบบด้วยกัน ซึ่งจัดตามระบบตามหลักการเรื่องเวลา

ความจำประเภทที่จัดเก็บทันทีทันใดคือ สิ่งที่รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสโดยทั่วไปเราบันทึกข้อมูลจากประสาทสัมผัสได้ภายในเวลาไม่เกิน 1 วินาทีเท่านั้น เมือ่เราจดจำถ้อยคำหรือตัวเลขที่ผ่านหูผ่านตาเราๆไปโดยไม่รู้ตัวก็เป็นการใช้ความจำจากประสาทสัมผัสด้วยเช่นเดียวกัน

ความจำในระดับถัดมาคือ ความจำระยะสั้น ซึ่งเป็นการจำอย่างตั้งใจความจำระบะสั้นเป็นแผนกจัดเก็บความจำที่มีความสำคัญที่สุดในสมอง เนื่องจสกในแผนกนี้มีหน้าที่จัดการกับข้อมูลทั้งหลายที่ส่งผ่านเข้ามาโดยจำเเนกเเยกเเยะข้อมูลออกจากกัน เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และจัดเป็นระบบไว้ ข้อมูลจากประสาทสัมผัสจะเก็บไว้อยู่ในแผนกนี้นานประมาณ10-20วินาที ความจำระยะสั้นสามารถจำตัวเลขเรียงกันประมาณ 7 ตัวซึ่งนับว่ามากพอสำหรับการจำหมายเลขโทรศัพท์โดยทั่วไป อย่างไรก็ตามถ้าหากมีการพัมนาความสามารถนี้ บางคนอาจจดจำตัวเลขได้ถึง 12 ตัว

จากความจำระยะสั้น ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังความจำระยะกลางซึ่งสมองเก็บไว้หลายวัน ก่อนแปรเป็นความจำระยะยาวในที่สุด ความจำระยะยาวเป็นฐานเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาล สามารถบรรจุข้อมูลต่างๆไว้ได้มากมาย เทียบเท่ากับหนังสือเล่มหนาขนาดประมาณหกพันล้านหน้าเลยทีเดียว

จดจำไปนาน

แม้แต่นักจัดเก็บเอกสารหรือเป็นบรรณารักษ์ผู้เชี่ยวชาญที่สุดในโลก ยังไม่สามารถมีระบบการทำงานที่ชัดเจนเท่าการจัดโครงสร้างความจำของคนเรา ถ้าความจำทำงานได้ดี เราย่อมเรียกข้อมูลที่จำไว้มาใช้ได้โดยไม่มีปัญหา แต่น่าเสียดายที่บางครั้งแผนกเก็บข้อมูลในสมองอยู่ในสภาพ 'นอกเวลาทำงาน' ก็มี

ในกรณีนี้ปัญหาอยู่ที่การเรียกความจำที่การเรียกความจำที่มีอยู่ขึ้นมา คือมีข้อมูลเก็บไว้อยู่แล้ว แต่เรานึกไม่ออกว่าต้องใช้กุญแจดอกไหนไขเปิดช่องเข้าไป ปัยหาสมองตันเเบบนี้แก้ไขได่ด้วยการหมั่นฝึกฝนความจำ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านเข้าไปนานๆเข้า ข้อมูลจำนวนมากจะสูญหายไปเลย เกิดหลงลืมขึ้นเสียมาเฉยๆถึงเเม้อาการเเบบนี้จะน่ารำคาญ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องกังวลใจ เพราะความจำของเราเปรียบเหมือนฮาร์ดไดรฟ์ของคอมพิวเตอร์ ถ้าเราจำทุกอย่างในชีวิตไว้โดยไม่ลบอะไรทิ้งไปบ้าง ในมี่สุดสมองจะเต็มล้นไปด้วยข้อมูลเเละสิ่งเร้าต่างๆจนทำงานไม่ได้ เหมือนกับฮาร์ดไดรฟ์ที่รับข้อมูลไว้มากเกินไปนั้นเอง

เรียกความจำมาใช้

ชาวโรมันรู้จักใช้วิธีการอย่างนึงซึ่งได้ผลดีมากในการเรียกความจำจากข้อมูลที่เก็บไว้ออกมา เรียกวิธีนนี้ว่า โลไค(Loci) ซึ่งมาจากคำว่าLocus ในภาษาละติน แปลว่าสถานที่

โลไคเป็นเทคนิคการเชื่อมโยงข้อมูลที่ปัจจุบันนี้มีการพิสูจน์เเล้ว่าใช้ได้ผลหลักการของโลไคคือ การผูกโยงภาพตามลำดับสิ่งที่ต้องการทำเข้ากับสถานที่หรือตำแหน่งโดยไม่ต้องใช้เหตุผล ภาพที่ผูกโยงได้อาจตลกหรือไม่เป็นจริงก็ไม่เป็นไร วิธีนี้มีประโยชน์มากเมื่อต้องการทำอะไรเรียงตามลำดับหลายอย่าง เพราะจะช่วยให้จำได้ง่ายขึ้น

ส่งความจำออกเดินทาง

วิธีฝึกขั้นเเรกคือเลือกสถานที่ที่คุ้นเคย เช่น บ้าน หรือ อพารต์เมนต์ อาจเริ่มต้นโดยนึกภาพเส้นทางเดินในใจแล้วจดใส่กระดาษไว้ เริ่มทีทประตูหน้ากำหนดให้เป็นหมายเลข 1 จากนั้นเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับกำหนดหมายเลขบริเวณที่ผ่าน เช่น ทางเดิน =2 ครัว =3 ห้องนั่งเล่น =4 ฯลฯ ขั้นตอนต่อมาคือ พิจารณาสิ่งที่ต้องทำตามลำดับ เช่น ถ้าเอารถไปตรวจที่อู่ซื้อกับข้าว จ่ายค่าโทรศัพท์ เตรียมจัดงานเลี้ยงวันเกิด จากนั้นเรียงลำดับสิ่งที่ต้องทำโดยเชื่อมโยงกับหมายเลขภายในบ้าน เช่น รถจอดอยู่หน้าประตู ดังนั้นจัดการรถเป็นอย่างเเรก โทรศัพท์อยู่ตรงโถงทางเดิน จึงจ่ายค่าโทรศัพทืเป็นอย่างที่สอง อาหารในตู้เย็นหมด อย่างที่สามคือไปตลาด

แต่เดิมชาวโรมันใช้วิธีการโลไคเพื่อเรียบเรียงข้อความกล่าวสุนทรพจน์จึงอาจนำมาใช้ในกรณีที่คุณต้องนำเสนอรายงานหรือกล่าวในที่ประชุมโดยนึกภาพบ้านซึ่งเยื่อมโยงเเต่ละห้องเข้ากับเเต่ละประเด็นหลักที่จะพูดนั้นคือ ให้ผูกคำสำคัญของประเด็นนั้นๆเข้ากับสิ่งของเเต่ละห้องตามลำดับ เวลาพูดก็นึกถึงภาพตัวเองเดินไปตามผังบ้าน ก็จะช่วยให้นึกออกว่าประเด็นต่อไปคืออะไร

ป้อนความจำ

น่าเสียดายที่ความสามารถในการจำของเราไม่ได้ติดตัวมาตั้งเเต่กำเนิด แม้ว่าธรรมชาติจะสร้างให้มีระบบสั่งสมความจำเกือบไร้ข้อจำกัดก็ตาม แต่ข้อมูลที่เราจะเก็บเเละข้อมูลที่จะเรียกมาใช้ได้หรือยังใช้ได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการเเยกเเยะข้อมูลและนำไปเก็บไว้ในช่องความจำ

คุณจะรู้สึกว่า สิ่งสวยงามจะมีชีวิตชีวาอยู่ในความทรงจำเสมอแต่สิ่งที่ไม่สนใจกลับนึกออกยากเย็นเหลือเกิน หลักการเบื้องต้นคือ ยิ่งมีทัศนะคติที่ดีต่อสิ่งใด จะจำสิ่งนั้นได้ง่าย แรงจูงใจจึงสำคัญพอๆกับการตั้งเป้าหมายแง่บวกให้ตัวเอง แต่ถ้าคุณไม่มีสมาธิระบบจัดเก็บความจำในสมองจะว่างเปล่าหรือทำงานได้ไม่ดี ถ้าคุณไม่ใส่ใจสิ่งรอบตัว สมองของคุณจะไม่รู้ว่า สิ่งที่กำลังประสบอยู่ตอนนี้ควรจะจดจำเอาไว้หรือควรลืมและลบทิ้งไปดี

ที่มา: เสริมปัญญา พัฒนาพลังสมอง. รีดเดอร์ส ไดเจสท์


_________________
http://sdiff99.hi5.com

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตลาดชุมชนริมแม่น้ำท่าจีน:ตลาดคอวัง













ตลาดคอวัง อยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นตลาดเอกชนที่นางซิ่วกี่ ม้าวิไล และนางหมาเล็ก แซ่ตั้ง ซึ่งเป็นพี่น้องกันเป็นเจ้าของ เป็นตลาดที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 120 ปี เดิมนางซิ่วกี่ มีอาชีพรับซื้อข้าว เห็นว่าบริเวณบ้านคอวัง มีทำเลดีเหมาะที่จะสร้างตลาด เนื่องจากที่ตั้งของบ้านคอวังเป็นจุดศูนย์กลางที่ชาวบ้านป่า คือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่บ้านสวนแตง บ้านสระยายโสม และอู่ทอง นำสินค้าที่เป็นของป่า และถ่านหุงข้าว บรรทุกเกวียนมาตามทางเกวียนมาขาย รวมถึงมารับซื้อสินค้าที่ส่งมาทางเรือไปขาย ชาวทุ่ง แถบบ้านโพธิ์ศรี โพธิ์ตะควน ก็จะนำข้าวเปลือกมาขายเช่นเดียวกัน จึงสร้างเป็นห้องแถวไม้ให้เช่าเปิดเป็นร้านค้า
ลักษณะทางกายภาพของตลาดคอวัง เป็นห้องแถวไม้ปลูกเรียงติดต่อกันเป็นแถวยาว เป็นรูปตัวยู มีประมาณ 40 – 50 ห้อง มีตลาดสดอยู่ตรงกลาง ผู้ค้าในตลาดคอวังมีความสัมพันธ์กันในเชิงเครือญาติ กล่าวคือเจ้าของตลาดจะแบ่งให้ญาติๆเช่าห้องแถวค้าขาย ต่อมาผู้เช่าก็จะแบ่งแยกยกสิทธิให้ลูกหลานทำการค้าต่อไป
ตลาดคอวังในระยะเริ่มแรกเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีความเจริญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นท่าข้าวที่ชาวทุ่งจากวัดดาว บ้านโพธิ์ศรี โพธิ์ตะควน นำข้าวเปลือกมาขายที่โรงสี ที่ตั้งอยู่ที่ตลาดคอวัง ชาวบ้านป่าจะนำของป่าและถ่านหุงข้าวมาขายส่ง การดำเนินธุรกิจเช่นนี้ จึงทำให้เกิดอาชีพรับจ้างต่อเรือ อู่ต่อเรือขึ้นที่ตลาดคอวัง โดยต่อทั้งเรือลำเลียง เรือสำปั้น และเรือแปะ







ตลาดคอวังนับเป็นตลาดค้าเรือ และรับจ้างต่อเรือขนาดใหญ่ มีอู่ต่อเรือหลายแห่ง ซึ่งผู้ดำเนินกิจการการต่อเรือเป็นชาวจีนไหหลำที่อพยพเข้าค้าขายในประเทศไทย ไม้ที่นำมาต่อเรือนี้ส่วนหนึ่งล่องมาจากทางเหนือตามลำน้ำเจ้าพระยาเข้าไปกรุงเทพฯ มีพ่อค้ามุสลิมเป็นผู้จำหน่ายซุงที่ล่องมา จากนั้นชาวจีนไหหลำจะเดินทางไปซื้อซุงเพื่อนำมาต่อเรือ โดยชักลากขึ้นมาตามลำน้ำท่าจีน กับอีกส่วนหนึ่งชักลามาจากทางเหนือล่องมาตามลำน้ำท่าจีน ในอดีต บริเวณหน้าตลาดคอวังจะมีแพซุงขนาดใหญ่ผูกติดไว้เป็นจำนวนมาก
สินค้าอื่น ๆ ที่ขายในตลาดคอวังได้แก่ เครื่องอุปโภค บริโภค ที่ขายในร้านโชวห่วย มีทั้ง ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน อุปกรณ์ซ่อมแซมเรือ เช่น ชัน น้ำมันยาง ซึ่งรับสินค้ามาจากกรุงเทพ ฯ ทั้งที่เดินทางไปซื้อเอง โดยทางเรือ และโดยการเขียนใบสั่งซื้อฝากไปกับเรือ รวมถึงมีเรือค้าส่งนำสินค้ามาส่งถึงหน้าตลาด นอกจากนี้ จะมีร้านตัดเสื้อผ้า ร้านทำทองรูปพรรณ อีกด้วย
สำหรับตลาดสดนั้น ส่วนหนึ่ง ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ผลิตก็จะนำผลิตผลของตนเองมาวางขายในแผลตลาดสด
การค้าขายในตลาดคอวังค่อนข้างซบเซา ซึ่งเป็นมาประมาณ 30 กว่าปีแล้ว แต่การค้าที่ยังคงไว้อยู่ก็คือการค้าไม้ ยังมีโรงเลื่อยที่ เมื่อต้องการปลูกบ้านไม้ ช่างไม้ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ไปซื้อไม้ที่ตลาดคอวัง ส่วนร้านอุปโภคบริโภคนั้นก็ขายได้กับคนกลุ่มเล็ก ๆ ในแถบใกล้เคียงตลาด จากที่เคยมีร้านค้า 40 – 50 ห้อง เหลือเพียง 4-5 ห้องที่ดำเนินกิจการเท่านั้น







สินค้าที่เป็นจุดเด่นของตลาดคอวัง ได้แก่เรือ ประเภทต่าง ๆ ไม้กระดาน อุปกรณ์ซ่อมแซมเรือ และเป็ดพะโล้ของร้านใช้ฮวด ที่มีชื่อเสียงมาก เพราะมีรสชาติดี แต่ปัจจุบันก็ได้ล้มเลิกกิจการไปแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยความสวยงามและความสมบูรณ์ทางกายภาพของตลาดคอวัง จึงทำให้ตลาดคอวังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง
นอกจากสินค้าและความสวยงามของตลาดคอวังแล้ว ยังมีประเพณีสำคัญที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาของชาวคอวังเป็นระยะเวลายาวนาน คือ ประเพณีตักบาตรกลางน้ำ และงานงิ้วประจำปี
ประเพณีตักบาตรกลางน้ำนี้ ริเริ่มโดยนางซิ่วกี่ ม้าวิไล ที่เห็นว่าบ้านคอวังเป็นที่ราบลุ่มซึ่งเหมาะกับการประกอบอาชีพทำนา ชาวบ้านในแถบนี้ส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพทำนา ในช่วงฤดูทำนา จะต้องออกไปทำนา เก็บเกี่ยวข้าว ไม่มีเวลาได้พบปะกัน เมื่อหมดฤดูทำนา จึงจัดให้มีประเพณีตักบาตรกลางน้ำขึ้น เพื่อให้มีโอกาสได้พบปะ ทำบุญ ร่วมกัน ผนวกกับความเชื่อที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่าในสมัยไทยรบกับพม่า มีชาวไทยกลุ่มหนึ่ง ย้ายพระพุทธรูปมาจากทางเหนือ เมื่อมาถึงหน้าบ้านคอวังแพแตกพระพุทธรูปจมลงในน้ำ มีความพยายามงมขึ้นมาหลายครั้ง โดยครั้งหนึ่งสามารถงมขึ้นมาได้แต่แพก็แตกทำให้จมลงไปอีก จึงมีการสร้างศาลเพียงตาขึ้นที่ริมตลิ่งใกล้บริเวณที่งมพระพุทธรูปได้ โดยมียายชั้น เป็นเจ้าพิธี แต่จนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่สามารถงมพระพุทธรูปองค์นั้นขึ้นมาได้ ชาวบ้านเชื่อว่าหากงมพระพุทธรูปขึ้นมาได้ ก็จะทำให้บ้านคอวังกลับมาเจริญได้อีกครั้ง ชาวบ้านบางกลุ่มเชื่อว่ามีจระเข้เฝ้าพระพุทธรูปนี้อยู่ เพราะที่หน้าตลาดคอวังจะมีวังน้ำวน ที่เป็นมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งเล่าต่อ ๆ กันมาว่า เกิดจากจระเข้ขุดโพรงจากคุ้งตาเพชรที่ตลาดบางปลาม้ามาจนถึงคอวัง
จระเข้ตัวนี้เดิมเป็นคนชื่อตาเพชร เป็นคนที่มีคาถาอาคม สามารถแปลงร่างเป็นจระเข้ได้ วันหนึ่งตาเพชรและภรรยากลับจากทำนาที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน จะข้ามกลับไปบ้านที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำท่าจีนจึงแปลงร่างเป็นจระเข้ เพื่อให้ภรรยาใช้เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ โดยหันหัวไปทางฝั่งตะวันออก ก่อนแปลงร่างเป็นจระเข้นั้น ตาเพชรได้เสกน้ำมนต์ให้กับภรรยาไว้ เพื่อใช้รดไปที่ร่างจระเข้ให้กลับกลายมาเป็นคนเหมือนเดิม แต่เมื่อภรรยาของตาเพชรข้ามฝั่งไปแล้ว จระเข้ตาเพชรได้อ้าปากเพื่อจะรอรับน้ำมนต์ บ้างก็เล่าว่าจระเข้ตาเพชรต้องการหยอกล้อภรรยาจึงอ้าปาก ฝ่ายภรรยาตกใจกลัวจึงทำขันน้ำมนต์หก ทำให้จระเข้ตาเพชรไม่สามารถกลับมาเป็นคนได้ จระเข้ตาเพชรร้องไห้อยู่ 7 วัน 7 คืน แต่ไม่มีใครสามารถช่วยได้ จึงดำน้ำลงไปขุดโพรงยาวลงมาทางใต้ถึงบ้านคอวัง บริเวณที่เป็นวังน้ำวนนี้ เล่ากันว่าเคยมีคนโยนลูกมะพร้าวลงไป ลูกมะพร้าวจมหาย แล้วไปโผล่ขึ้นที่คุ้งตาเพชร ที่อยู่ด้านทิศเหนือของตลาดคอวัง
ประเพณีตักบาตรกลางน้ำจึงนอกจากเปิดโอกาสให้ผู้คนได้พบปะกันแล้ว ยังถือเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ ตามความเชื่อที่เล่าต่อๆกันมา โดยประเพณีตักบาตรกลางน้ำจะมีในวันแรม 12 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี ผู้คนทั้งชาวทุ่ง ชาวน้ำ จะมาร่วมกันตักบาตร ที่พระสงฆ์จากวัดในละแวกใกล้เคียง พายเรือมารับบิณฑบาต
ใกล้กับตลาดคอวัง มีอุทยานมัจฉา วัดป่าพฤกษ์ โดยหน้าวัดป่าพฤกษ์มีปลาธรรมชาติที่ทางวัดสงวนพันธุ์ปลาไว้ ไม่ให้บุคคลใดมาจับปลา เช่น ปลาสวย ปลาตะเพียน ทั้งนี้ทางวัดได้ให้อาหารเพื่อทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ประชาชนได้มาพักผ่อนหย่อนใจ

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรียนรู้จากข้างเตียง

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2554 ฉันต้องเข้าไปรักษาตัวที่รงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพราะเพียงแค่เยื่อโพรงจมูกอักเสบ จากภูมิแพ้ คุณหมอจึงต้องทำการจี้ในโพรงจมูกให้


เพราะเห็นว่านิดเดียวคุณหมอบอกว่านอนโรงพยาบาล 2 คืนก็กลับบ้านได้จึงไม่ได้บอกใคร เช้ามาก็สบายเป้เข้าเมือง ทั้งๆที่ปรกติจะสะพายเป้เข้าป่า



ห้องพิเศษเต็ม จึงต้องอยู่ห้องสามัญ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ต้องนอนโรงพยาบาลแล้วต้องนอนรวมกับคนไข้อื่นๆเป็นครั้งแรกในชีวิต



นับเป็นโชคดีจริงๆที่ฉันได้มีโอกาสได้ซึมซับความรับ ความอบอุ่น ของคนที่อยู่เตียงรอบ ๆ ได้มีโอกาสเห็นความอดทน ความเข้มแข็งของคนอื่น


ป้าบุญเรือนอายุ 69 ปีแล้ว หน้าตาผ่องใส คุยเก่ง ไม่น่าเชื่อว่าป้าเป็นมะเร็งกล่องเสียงระยะ 4 แล้ว คุณหมอที่โรงพยาบาลแนะนำว่าต้องย้ายไปโรงพยาบาลที่เครื่องมือครบ คุณหมอมีความชำนาญให้ เนื่องจากหากพลาด ก็คงเหมือนแหย่ผึ่งให้แตกรัง มะเร็งจะเข้าหลอดอาหาร จะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว


ฉันมองไม่เห็นสีหน้าเป็นทุกข์ของคุณป้า แต่สามีของคุณป้าที่มานั่งเฝ้าอยู่นั้นฉันสัมผัสได้ถึงความอาดูรในสายตาของคุณลุง



เมื่อคุณลุงกลับไป คุณป้าเล่าถึงความอบอุ่นในครอบครัว เล่าถึงลูกๆที่น่ารัก เล่าถึงความดีของคุณลุง สามสิบกว่าปีที่อยู่ด้วยกันมาไม่เคยทะเลาะกัน งานบ้านคุณลุงจะทำเองคุณป้าไม่ต้องทำอะไร


คุณป้าเป็นนักสังคมสงเคราะห์ มีจิตอาสาตัวยง คุณป้าดูแลแม่สามีที่อายุเก้าสิบกว่าปีด้วยความรัก ร้องเพลงเก่าๆ ให้แม่สามีฟัง คุณป้าสอนเด็กๆในชุมชนให้เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมไทย สอนให้เด็กรำไทย ให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์



คุณป้าบอกว่าจะไม่ยอมผ่าตัด เพราะอายุมากแล้ว และกลัวจะพูดไม่ได้ สอนเด็กๆไม่ได้



ฉันได้แต่ภาวนาว่าขอให้คุณป้าตัดสินใจผ่าตัดเพื่อรักษาชีวิตไว้ และผลการผ่าตัดจะต้องออกมาในทางที่บวกที่สุด


พัฒนรีย์ อายุยังไม่น่าจะถึง 30ปี ผ่าตัดไทยรอยด์ เธอเป็นผู้หญิงที่มีน้ำใจ ช่วยเหลือคนไข้คนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมห้อง เธอมีแผลที่คอ จึงทำให้พยายามระมัดระวังไม่ให้กระทบกระเทือน จึงทำให้เธอเดินเหมือนหุ่นยนต์ แต่เป็นหุ่นยนต์ที่น่ารักมาก เธอยิ้มเก่ง อัธยาศัยดี มีน้ำใจเหลือเกิน


ภาวนา นอนอยู่เตียงติดกับฉัน ทันที่ที่เห็นหน้า ฉันบอกได้ทันทีว่า"เธอเป็นมะเร็ง" ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ใบหน้าช่วงกราม คางของเธอดำเป็นรอยไหม้ จากการฉายแสง ตอนที่ฉันเข้าไปในห้องนั้นใหม่ๆ เธอกำลังรับเคมีบำบัดอยู่ เธอล่าให้ฟังว่าเธอเป็นมะเร็งระยะ 3 เริ่มจากการไปอุดฟัน แต่กลับกลายเป็นว่าโลหะที่อุดฟังกลับทำให้เธอเนมะเร็ง ลามไปที่เหงือกและฟันซี่อื่นๆ อีก หมอบอกว่าถ้าเธอไม่ตัดกรามออก ก็ต้องฉายแสง เธอเลือกฉายแสง เธอให้เหตุผลว่า หนู่เกิดมาไม่สวยน่ะพี่ ยังไงอย่าให้หนูต้องหน้าเบี้ยวอีกอย่างหนึ่งเลย


ฉันรับรู้ความเข้มแข็งของภาวนา เมื่อเธอบอกว่า หนูจะสู้กับมัน พอรับเคมีเสร็จหนูจะเพลียแล้วก็อาเจียน แต่หนูก็จะสู้ หนูจะพยายามกินอาหารที่มีประโยชน์ ให้มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู่กับมันไปอีกนานๆ ช่วงบ่าย สามีของภาวนาจะมาเยี่ยมและพูดปลอบให้กำลังใจ ทั้ง 2 วันที่ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล


ฉันกลับมาบ้านแล้ว แต่ภาวนายังต้องนอนอยู่โรงพยาบาล เธออาเจียนตลอดเวลา กินอะไรไม่ได้เลย แขนเธอระโยงระยางด้วยสายน้ำเกลือ และขวดยา


การเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ ทำให้ฉันได้รับรู้ถึงความเข้มแข็งของผู้หญิง2คนที่กำลังต่อสู้กับโรคร้าย เห็นความน่ารัก มีน้ำใจของผู้หญิงอีก 1 คน มันคุ้มค่าจริง ๆ


ป้าบุญเรือน และภาวนา ช่วยสอนให้ฉันตั้งอยู่ในความไม่แน่นอนของชีวิต ให้ทำใจยอมรับว่าความตายมันอยู่ใกล้กันนิดเดียว หลังจากที่เมื่อ 3 เดือนที่แล้วฉันได้สูญเสียเพื่อนรัก ที่ตกเลือดภายหลังคลอดไปอย่างไม่มีวันกลับ

.....และ...ในวันนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่.....ฉันขอทำดีถวายให้ในหลวง และประเทศชาติ....ฉันสัญญา